banner
หน้าหลัก
ข่าว ความเคลื่อนไหว และ คลังความรู้
ข่าว ความเคลื่อนไหว และ คลังความรู้
"กองบริการการศึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา"
หมวดหมู่
SDGs ยอดนิยม
newspicture
ความเป็นมาและลักษณะของมาตรฐานระดับอาจารย์มืออาชีพมหาวิทยาลัยพะเยา

ความเป็นมาและลักษณะของมาตรฐานระดับอาจารย์มืออาชีพมหาวิทยาลัยพะเยา

          การทำความเข้าใจที่มาที่ไปและคุณลักษณะของมาตรฐานระดับอาจารย์มืออาชีพ จะสามารถทำให้อาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาตระหนักและเห็นความสำคัญความเป็นครูในโลกศตวรรษที่ 21 ที่เปลี่ยนแปลงได้ และนำไปสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นในการเขียนใบสมัคร UP-PSF1 ต่อไป  ในบทนี้ จึงขออธิบายเนื้อหาที่ประกอบด้วย 1) ความเป็นมาของมาตรฐานระดับอาจารย์มืออาชีพ และ 2) ลักษณะของมาตรฐานระดับอาจารย์มืออาชีพมหาวิทยาลัยพะเยา

ความเป็นมา

          สถาบันอุดมศึกษาทั่วโลกกําลังให้ความสนใจการพัฒนาอาจารย์ให้เป็นมืออาชีพทั้งด้านการวิจัย การพัฒนาหลักสูตรและการจัดเรียนการสอน นั่นคือเป็นการพัฒนาบทบาทของอาจารย์ให้มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาทักษะ ความรู้ความสามารถที่จําเป็นต่อการเรียนรูู้ของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ให้มีความสามารถในการเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต สามารถแข่งขันในระดับภูมิภาคอาเซียนและในระดับสากล และเพื่อการพัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืน

          การริเริ่มเกิดขึ้นจากสถาบันการอุดมศึกษาของอังกฤษ (The higher Education Academy: HEA) ได้การพัฒนากรอบมาตรฐานวิชาชีพดำเนินการสอนและการสนับสนุนการเรียนรู้ (UK Professional standards framework: UKPSF) โดยก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2546 ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระระดับชาติในสหราชอาณาจักรได้จัดทำกรอบมาตรฐานวิชาชีพระดับอุดมศึกษา United Kingdom Professional Standard Framework (UHPSF) เพื่อประเมินและรับรองหลักสูตรการพัฒนาคุณภาพการสอนของคณาจารย์ และใน พ.ศ. 2560 HEA ได้ควบรวมกับ Equality Challenge Unit และ Leadership Foundation for Higher Education และเปลี่ยนชื่อเป็น Advance HE และร่วมกับสถาบันอุดมศึกษาทั่วโลก เพื่อจัดฝึกอบรมและประเมินคุณภาพการสอนและการกำหนดวิทยฐานะของผู้ผ่านการประเมิน (Descriptors) ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบ โดยต้องการให้อาจารย์มีความเป็นนักวิชาการ มีึความเป็นครูและมีความเป็นมนุษย์

         นอกจากที่ประเทศอังกฤษแล้วที่มี HE Academy (UK) – UKPSF ก็ยังมีแนวคิดมาตรฐานอาจารย์มืออาชีพจากประเทศต่าง ๆ เช่น  Regional Pedagogical Centres for HE, Australian Professional Standards for teacher, Australian University Teaching, Criteria and Standard Framework และ National Board for Professional Teaching Standards[1] ซึ่งมีกำหนดกรอบมาตรฐานอาจารย์มืออาชีพเช่นกัน โดยมีลักษณะร่วมที่คล้ายคลึงกันแต่นำมาประยุกต์และกำหนดใช่้ในบริบทที่แตกต่างของประเทศและมหาวิทยาลัยของตนเอง

         ใน พ.ศ. 2558 สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้ดำเนินโครงการความร่วมมือกับสหภาพยุโรป (EU) ในโครงการ “TQF and the Development of Professional Standards Framework” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความเป็นมืออาชีพของอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ทั้งในด้านศาสตร์ในสาขา ด้านการออกแบบหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน และทัศนคติที่ดีงามในความเป็นอาจารย์มืออาชีพ จนในที่สุด สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจัดทำกรอบมาตรฐานอาจารย์มืออาชีพที่เป็นกรอบกลางเพื่อให้สถาบันอุดมศึกษาที่สนใจได้มีแนวทางในการพัฒนากรอบมาตรฐานอาจารย์มืออาชีพตามบริบทของตนเองด้วยความสมัครใจ[2]

         มาตรฐานวิชาชีพของอาจารย์มืออาชีพ (PSF) สามารถนำมาใช้เป็นกรอบมาตรฐานการสอนและการสนับสนุนการเรียนรู้ในสาขาวิชาต่าง ๆ  ได้ เนื่องจากเป็นสากลและประยุกต์ใช้ในหลายประเทศได้ผลดี สอดคล้องกับวิธีการสอนจัดการเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 สำหรับมหาวิทยาลัยในประเทศไทยที่นำ PSF ของประเทศต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ เช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (SUT-PSF) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (KMUTT-PSF) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (PSU-TPSF)  มหาวิทยาลัยสวนดุสิต (SDUPSF) มหาวิทยาลัยศรีปทุม (SPU-PSF) และมหาวิทยาลัยพะเยา (UP-PSF)

           จากที่มาและความสำคัญข้างต้น มหาวิทยาลัยพะเยาจึงมีประกาศเรื่อง มาตรฐานอาจารย์มืออาชีพ มหาวิทยาลัยพะเยา พ.ศ. 2562 เพื่อเป็นการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของอาจารย์ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งนั่นนับว่า มหาวิทยาลัยพะเยาให้ความสำคัญกับการจัดการเรียนการสอนและมุ่งพัฒนาให้อาจารย์มีความเป็นมืออาชีพในการเรียนการสอนที่จะพัฒนามหาวิทยาลัยพะเยาไปสู่สถาบันอุดมศึกษาที่มีคุณภาพและได้รับการยอมรับตามมาตรฐานยิ่งขึ้น

 

[1] โปรดดูรายละเอียดใน วิจิตร ศรีสอ้าน. (สื่อนำเสนอ).ความก้าวหน้าของวิชาชีพอาจารย์และแนวทางการพัฒนากรอบมาตรฐานวิชาชีพด้านการสอนของ มทส.., วิจิตร ศรีสอ้าน. (สื่อนำเสนอ). แนวทางการพัฒนาอาจารย์ตามกรอบมาตรฐานวิชาชีพ UKPSF ในประเทศไทย. และ สุวมาลย์ ม่วงประเสริฐ. (สื่อนำเสนอ). กรอบมาตรฐานอาจารย์มืออาชีพด้านการสอน มหาวิทยาลัยสวนดุสิต. คณะกรรมการพัฒนากรอบมาตรฐานอาจารย์มืออาชีพ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต.

[2] สำนักมาตรฐานและประเมินผลอุดมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา. (2561). แนวทางการส่งเสริมคุณภาพการจัดการเรียนการสอนของอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา. กรุงเทพฯ: ภาพพิมพ์.

 

ลักษณะของมาตรฐานระดับอาจารย์มืออาชีพมหาวิทยาลัยพะเยา

การส่งเสริมคุณภาพการจัดการเรียนการสอนของอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้อาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาพัฒนาตนเองให้มีสมรรถนะและประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอน จำนวน 3 องค์ประกอบ ดังนี้

1. องค์ความรู้ (Knowledge)-KNOW (knowledge)

1.1 ความรู้ในศาสตร์สาขาของตน

1.2 ความรู้ในศาสตร์การสอนและการเรียนรู้

2.  สมรรถนะการจัดการเรียนรู้ (Professional competencies)-DO (activities)

    2.1 ออกแบบและวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน

    2.2 ดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    2.3 เสริมสร้างบรรยากาศการเรียนรู้และสนับสนุนการเรียนรู้ของผู้เรียน

    2.4 วัดประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน พร้อมทั้งสามารถให้ข้อมูลป้อนกลับอย่างสร้างสรรค์

3.  คุณค่าของอาจารย์ (Professional values)-BE (values)

    3.1 คุณค่าในการพัฒนาวิชาชีพอาจารย์และการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง

    3.2 ธำรงไว้ซึ่งจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพอาจารย์

        คุณภาพการจัดการเรียนการสอนในแต่ละองค์ประกอบข้างต้น กำหนดให้มีระดับของคุณภาพของแต่ละองค์ประกอบ จำนวน 4 ระดับ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของอาจารย์ด้านการจัดการเรียนการสอน โดยใน 4 ระดับ มีดังนี้

       ระดับที่ 1 เป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจในศาสตร์ของตนและประยุกต์ใช้ได้ มีความรู้ความเข้าใจในศาสตร์การเรียนรู้เบื้องต้น สามารถออกแบบกิจกรรม จัดบรรยากาศ ใช้ทรัพยากรและสื่อการเรียนรู้ โดยคำนึงถึงผู้เรียนและปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ สามารถวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน นำผลประเมินมาใช้ปรับปรุงพัฒนาการจัดการเรียนรู้ พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เปิดใจรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง และปฏิบัติตามจรรยาบรรณวิชาชีพอาจารย์ขององค์กร

     ระดับที่ 2 เป็นผู้มีคุณภาพการจัดการเรียนการสอนระดับที่ 1 ที่มีความรู้ลึกในศาสตร์ของตน และติดตามความก้าวหน้าของความรู้ในศาสตร์อย่างสม่ำเสมอ มีความรู้ความเข้าใจในศาสตร์การเรียนรู้ สามารถจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับกลุ่มผู้เรียน กำกับดูแลและติดตามผลการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างเป็นระบบ ให้คำปรึกษาชี้แนะแก่เพื่อนอาจารย์ในศาสตร์ได้ และส่งเสริมให้เกิดการปฏิบัติตามจรรยาบรรณวิชาชีพอาจารย์ภายในองค์กร

     ระดับที่ 3 เป็นผู้มีคุณภาพการจัดการเรียนการสอนระดับที่ 2 ที่เชี่ยวชาญ ในศาสตร์ของตน ศาสตร์การเรียนรู้ และการจัดการเรียนรู้ข้ามศาสตร์ นำผลการวิจัยในชั้นเรียนมาพัฒนาการจัดการเรียนรู้ เป็นพี่เลี้ยงและผู้ชี้แนะในระดับองค์กรด้านการจัดการเรียนรู้และนโยบายด้านจรรยาบรรณวิชาชีพอาจารย์

     ระดับที่ 4 เป็นผู้มีคุณภาพการจัดการเรียนการสอนระดับที่ 3 ที่เป็นผู้นำในศาสตร์ของตน ศาสตร์การเรียนรู้และการจัดการเรียนรู้ข้ามศาสตร์ เป็นที่ยอมรับทั้งภายในและภายนอกองค์กร มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและกลยุทธ์ในการพัฒนาองค์ความรู้ และการจัดการเรียนรู้ในระดับชาติและนานาชาติ เป็นผู้นำเชิงนโยบายด้านจรรยาบรรณวิชาชีพอาจารย์

 


 

Thumb
newspicture
การขอเอกสารสำคัญทางการศึกษาสำหรับนิสิตที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาหรือศิษย์เก่า สามารถขอเอกสารสำคัญทางการศึกษา

การขอเอกสารสำคัญทางการศึกษาสำหรับนิสิตที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาหรือศิษย์เก่า

สามารถขอเอกสารสำคัญทางการศึกษา ได้ดังนี้

  1. Transcript (จบแล้ว) เป็นรายงานผลการศึกษา (เกรด) ทุกภาคเรียนที่นิสิตเรียนไปแล้วและมีวันที่สำเร็จการศึกษา สามารถขอได้หลังจากมหาวิทยาลัยอนุมัติสำเร็จการศึกษาแล้ว หรือนิสิตมีสถานะสำเร็จการศึกษาแล้ว หากต้องการแบบเอกสาร ยื่น UP03 คำร้องขอใบแสดงผลการเรียน (TRANSCRIPT) หรือต้องการแบบไฟล์ PDF โดยส่งทางอีเมลล์ของผู้ใช้บริการที่ระบุในระบบ reg ยื่น UP03.1 คำร้องขอใบรายงานผลการศึกษา (Digital Transcript) 
  2. ใบรับรองคุณวุฒิ เป็นเอกสารสำคัญที่รับรองว่านิสิตสำเร็จการศึกษาหลักสูตรอะไร สาขาอะไร ปริญญาอะไร สามารถใช้แทนใบปริญญาบัตรได้ โดยถ่ายสำเนาประกอบการสมัครงานหรือศึกษาต่อ 
  3. ใบปริญญาบัตร สำหรับบัณฑิตที่ไม่ได้เข้าพิธีพระราชทานปริญญาบัตร มารับด้วยตนเอง ได้ที่งานทะเบียนนิสิต กองบริการการศึกษา ชั้น 1 อาคารสำนักงานอธิการบดี โดยสำเนาบัตรประชาชนพร้อมรับรองสำเนาถูกต้องยื่นต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขอรับปริญญาบัตร หรือ ให้จัดส่งทางไปรษณีย์ โดยยื่นคำร้อง UP31 ผ่านระบบ www.reg.up.ac.th “ใบปริญญาบัตรมีใบเดียว ถ้าหายไม่สามารถออกให้ใหม่ได้ โปรดรักษาไว้ให้ดี ควรมารับด้วยตนเอง”
  4. ใบแปลใบรับรองคุณวุฒิ เป็นการนําใบรับรองคุณวุฒิมาขอแปลเปนฉบับภาษาอังกฤษ โดยมีเอกสารประกอบการยื่นขอ ดังนี้ สำเนาใบรับรองคุณวุฒิ (สำหรับนิสิตที่ยังไม่ได้รับใบรับรองคุณวุฒิฉบับจริง ให้ยื่นขอ up31 หรือติดต่อรับที่
    งานทะเบียนนิสิต) จำนวน 1 ฉบับ และ สำเนาใบTranscript จำนวน 1 ฉบับ   
  5. ใบแปลปริญญาบัตร เป็นการนําใบปริญญาบัตรมาขอแปลเปนฉบับภาษาอังกฤษ โดยมีเอกสารประกอบการยื่นขอ ดังนี้
    สำเนาใบปริญญาบัตร (สำหรับนิสิตที่ยังไม่ได้รับใบปริญญาบัตรฉบับจริง ให้ยื่นขอ up31 หรือติดต่อรับที่งานทะเบียนนิสิต) จำนวน 1 ฉบับ และ สำเนาใบTranscript จำนวน 1 ฉบับ 
  6. ใบแทนใบรับรองคุณวุฒิ เป็นเอกสารที่มหาวิทยาลัยออกให้แทนฉบับเดิม เนื่องจาก เอกสารเดิมสูญหาย หรือชำรุดจนใช้การไม่ได้ ลักษณะเหมือนใบรับรองคุณวุฒิทุกอย่างแต่ จะมีข้อความว่า "ใบแทน" การนำไปใช้เหมือนใบรับรองคุณวุฒิ โดยมีเอกสารประกอบการยื่นขอ ดังนี้ ใบแจ้งความเอกสารหายจากสถานีตำรวจ หรือ เอกสารฉบับที่ชำรุด จำนวน 1 ฉบับ 
  7. ใบแทนใบปริญญาบัตร เป็นเอกสารที่มหาวิทยาลัยออกให้แทนแทนฉบับเดิม เนื่องจาก เอกสารเดิมสูญหาย หรือชำรุดจนใช้การไม่ได้ ลักษณะเหมือนใบปริญญาบัตรทุกอย่างแต่ จะมีข้อความว่า "ใบแทน" การนำไปใช้เหมือนใบปริญญาบัตร โดยมีเอกสารประกอบการยื่นขอ ดังนี้ ใบแจ้งความเอกสารหายจากสถานีตำรวจ หรือ เอกสารฉบับที่ชำรุด จำนวน 1 ฉบับ

 

หมายเหตุ    1)  การยื่นคำร้องจะสมบูรณ์ นิสิตต้องชำระเงิน ภายใน 5 วันทำการ หลังจากยื่นคำร้องแล้ว โดยเจ้าหน้าที่จะได้ 

                        ดำเนินการออกเอกสารสำคัญให้กับนิสิตหลังจากชำระเงินและยื่นเอกสารแนบ (ถ้ามี) ครบเรียบร้อยแล้ว

                   2)  นิสิตต้องตรวจสอบคำร้องหลังยื่นแล้ว “จนกว่าคำร้องจะสิ้นสุด”

                                    3)   ศิษย์เก่าที่สำเร็จการศึกษาไปแล้วและลืมรหัสผ่าน สามารถใช้เลขบัตรประจำตัวประชาชนแทนรหัสผ่านในการเข้า

newspicture
TCAS คืออะไร? มารู้จักกับระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัย

TCAS คืออะไร?

TCAS (Thai University Center Admission System) คือระบบการคัดเลือกบุคคลเข้ามหาวิทยาลัยของประเทศไทย ดำเนินการโดยที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ซึ่งหลายคนคงจะเข้าใจว่ามันคือระบบ เอนทรานซ์ หรือ Admission หรือเปล่า? ซึ่งแท้จริงแล้วไม่ใช่ทั้งเอนทรานซ์และ Admission เหมือนสมัยก่อนแต่ TCAS นั้นจะเป็นระบบใหญ่ที่รวมการสอบเข้ามหาวิทยาลัยทุกรูปแบบโดยเฉพาะภาคภาษาไทยเข้าไว้เป็นศูนย์กลางของการรับบุคคลเข้าศึกษาต่อนั่นเอง

ความสำคัญของระบบ TCAS

ระบบ TCAS ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความยุติธรรมและลดความกดดันในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย โดยนักเรียนสามารถวางแผนการสมัครและการเตรียมตัวได้ดีขึ้น การมีหลายรอบการสมัครช่วยให้นักเรียนมีโอกาสในการเลือกคณะที่เหมาะสมกับตนเองมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดความซ้ำซ้อนในการยื่นคะแนนและเพิ่มโอกาสในการได้รับคณะที่ต้องการ

TCAS มีกี่รอบ?

ระบบ TCAS แบ่งการรับสมัครนักเรียนออกเป็น 4 รอบหลัก ซึ่งแต่ละรอบมีลักษณะและความสำคัญแตกต่างกันไป ดังนี้:

รอบที่ 1: พอร์ตฟอลิโอ (Portfolio)

เป็นรอบที่เปิดโอกาสให้นักเรียนที่มีผลงานหรือความสามารถพิเศษในการสมัครเข้าศึกษาต่อ โดยไม่ต้องใช้คะแนนสอบ โดยนักเรียนจะต้องส่ง Portfolio หรือแฟ้มสะสมผลงานให้กับมหาวิทยาลัยที่ต้องการสมัคร และมหาวิทยาลัยจะพิจารณาจากผลงานและคุณสมบัติของนักเรียนที่ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด

รอบที่ 2: โควตา (Quota)

รอบนี้จะเปิดรับนักเรียนที่อยู่ในเขตพื้นที่หรือจังหวัดที่มหาวิทยาลัยนั้น ๆ ตั้งอยู่ หรือมีเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ ที่มหาวิทยาลัยกำหนด เช่น โควตานักกีฬา โควตานักเรียนที่มีผลการเรียนดีในกลุ่มวิชาเฉพาะ

รอบที่ 3: การสอบตรงกลาง (Admission)

รอบนี้เป็นการรับสมัครที่มีการแข่งขันสูงที่สุด เนื่องจากเปิดรับนักเรียนจากทั่วประเทศ นักเรียนต้องใช้คะแนนจากการสอบกลางหรือคะแนนสอบเฉพาะทาง (เช่น กสพท.)    มาสมัครเพื่อเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย โดยนักเรียนสามารถเลือกอันดับของคณะที่ต้องการสมัครได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด

รอบที่ 4: รับตรงอิสระ (Direct Admission)

รอบนี้เป็นรอบสุดท้ายที่เปิดโอกาสให้นักเรียนที่ยังไม่สามารถเข้าสู่มหาวิทยาลัยในรอบก่อนหน้าได้สมัครเข้าเรียนโดยตรงกับมหาวิทยาลัย โดยมหาวิทยาลัยสามารถกำหนดเงื่อนไขและวิธีการคัดเลือกได้อย่างอิสระ

เงื่อนไขการบริหารจัดการสิทธิ์

  1. เมื่อเสร็จสิ้นการคัดเลือกแต่ละรอบ จะต้องเข้าระบบ TCAS เพื่อยืนยันสิทธิ์การเข้าศึกษาต่อ โดยยืนยันสิทธิ์ได้เพียงแห่งเดียว เท่านั้น! (เปลี่ยนใจได้ 2 ครั้งในช่วงเวลายืนยันสิทธิ์)
  2. หากไม่ยืนยันสิทธิ์ (ไม่ใช้สิทธิ์) สามารถไปสมัครรอบถัดไปได้
  3. กรณียืนยันสิทธิ์แล้ว ต้องการไปสมัครรอบถัดไป ต้องสละสิทธิ์ (ภายในช่วงเวลาที่กำหนด) จึงจะสามารถสมัครรอบถัดไปได้
  4. การสละสิทธิ์ทำได้ 1 ครั้ง ตลอดการคัดเลือก
Thumb
newspicture
การใช้งาน Git (Version Control System)

Git เป็นระบบควบคุมเวอร์ชัน (Version Control System หรือ VCS) ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อจัดการและติดตามการเปลี่ยนแปลงของไฟล์หรือโค้ดในระบบ Git ถูกพัฒนาขึ้นโดย Linus Torvalds (ผู้สร้าง Linux) ในปี ค.ศ. 2005 เพื่อช่วยรองรับการทำงานร่วมกันในระบบขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในกรณีที่มีผู้พัฒนาหลายคนสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ทำไมต้องใช้ Git?

       การเลือกใช้ Git มีความสำคัญอย่างมากในกระบวนการพัฒนาและจัดการโครงการซอฟต์แวร์ ไม่ว่าจะเป็นโครงการขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ เนื่องจาก Git มีความสามารถในการจัดการและติดตามการเปลี่ยนแปลงของไฟล์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยประโยชน์สำคัญของการใช้ Git สามารถสรุปได้ดังนี้:

          1.การติดตามการเปลี่ยนแปลง (Version Tracking): Git สามารถบันทึกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในไฟล์หรือโค้ดทุกครั้งที่มีการแก้ไข ทำให้ผู้พัฒนาสามารถย้อนกลับไปยังสถานะก่อนหน้าของไฟล์ได้ในกรณีที่เกิดข้อผิดพลาด หรือหากต้องการดูประวัติการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านมาของโครงการ การติดตามเวอร์ชันนี้ยังช่วยให้การจัดการโครงการมีความโปร่งใสและสามารถติดตามความคืบหน้าได้ง่ายขึ้น

          2.การทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ (Collaborative Development): ในโครงการที่มีผู้พัฒนาหลายคน การใช้ Git ช่วยให้ทุกคนสามารถทำงานพร้อมกันบนโค้ดเดียวกันได้โดยไม่เกิดการขัดแย้งของไฟล์ Git รองรับการสร้าง Branch (สาขา) เพื่อแยกการพัฒนาเป็นส่วนๆ และเมื่อแต่ละสาขาเสร็จสิ้นการพัฒนาแล้ว สามารถรวมเข้ากับสาขาหลัก (Master Branch) ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งช่วยลดปัญหาความขัดแย้งของโค้ดและช่วยให้การพัฒนาเป็นไปอย่างราบรื่น

          3.การสนับสนุนการทำงานแบบกระจาย (Distributed System): Git เป็นระบบควบคุมเวอร์ชันแบบกระจาย (Distributed Version Control System) ซึ่งหมายความว่าผู้พัฒนาแต่ละคนจะมีสำเนาของโครงการทั้งหมดในเครื่องของตนเอง ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างยืดหยุ่นและไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงในการสูญเสียข้อมูล เนื่องจากมีสำเนาของโครงการอยู่ในหลายๆ ที่

          4.การสนับสนุนการควบคุมการเข้าถึงและการรักษาความปลอดภัย (Access Control and Security): Git ช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงในระดับต่างๆ ได้ เช่น กำหนดให้บางคนสามารถดูโค้ดได้แต่ไม่สามารถแก้ไขได้ หรือกำหนดสิทธิ์ในการบันทึก (Commit) และการรวม (Merge) โค้ด ซึ่งช่วยป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการที่ผู้ใช้หลายคนทำงานร่วมกันในโครงการเดียวกัน นอกจากนี้ การบันทึกการเปลี่ยนแปลงใน Git ยังสามารถติดตามได้ว่าการเปลี่ยนแปลงใดทำโดยใคร และเมื่อไหร่ ทำให้การตรวจสอบความถูกต้องและความปลอดภัยของโครงการง่ายขึ้น

          5.การสนับสนุนการทำงานกับแพลตฟอร์มออนไลน์ (Integration with Online Platforms): Git สามารถเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เช่น GitHub, GitLab และ Bitbucket ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยในการจัดเก็บ แชร์ และจัดการโครงการ Git บนอินเทอร์เน็ต การใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้ช่วยให้การทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งยังมีเครื่องมือเสริมที่ช่วยในการตรวจสอบคุณภาพของโค้ด (Code Review) และการทดสอบอัตโนมัติ (Continuous Integration/Continuous Deployment - CI/CD)

       การใช้ Git จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในงานพัฒนาซอฟต์แวร์สมัยใหม่ เนื่องจากช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความซับซ้อนในการจัดการโครงการ และเพิ่มความมั่นใจในการจัดการและการพัฒนาระบบ

 

ขั้นตอนการใช้งาน Git เบื้องต้น

        1. การติดตั้ง Git ก่อนเริ่มต้นใช้งาน Git ผู้ใช้จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรม Git บนคอมพิวเตอร์ของตน ซึ่งขั้นตอนการติดตั้งจะแตกต่างกันไปตามระบบปฏิบัติการที่ใช้งาน

             Windows:

      1.โปรดเข้าสู่เว็บไซต์ Git for Windows และดาวน์โหลดโปรแกรมติดตั้ง

      2.หลังจากดาวน์โหลดเสร็จสิ้น ให้ดำเนินการเปิดไฟล์ติดตั้ง (.exe) และปฏิบัติตามคำแนะนำที่ปรากฏบนหน้าจอ

      3.เมื่อการติดตั้งเสร็จสมบูรณ์ ผู้ใช้สามารถเปิดโปรแกรม Git Bash ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ติดตั้งมาพร้อมกับ Git เพื่อเริ่มต้นใช้งานได้ทันที

             macOS:

      1.เปิดโปรแกรม Terminal

      2.หากผู้ใช้ติดตั้ง Homebrew (โปรแกรมจัดการแพ็กเกจ) ไว้แล้ว สามารถใช้คำสั่ง brew install git เพื่อติดตั้ง Git

      3.หากไม่ได้ติดตั้ง Homebrew ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด Git จาก เว็บไซต์ Git และดำเนินการติดตั้งตามคำแนะนำที่ปรากฏ

            Linux:

      1.เปิดโปรแกรม Terminal

      2.สำหรับผู้ใช้ Ubuntu สามารถติดตั้ง Git ด้วยคำสั่ง sudo apt-get install git และสำหรับ Fedora หรือ CentOS ใช้คำสั่ง sudo yum install git

      3.หลังการติดตั้งเสร็จสิ้น ผู้ใช้สามารถตรวจสอบเวอร์ชั่นของ Git ที่ติดตั้งได้โดยใช้คำสั่ง git –version

        2. การตั้งค่าผู้ใช้งานเบื้องต้น หลังจากติดตั้ง Git เสร็จสิ้น ผู้ใช้จะต้องตั้งค่าข้อมูลผู้ใช้งานเบื้องต้นเพื่อให้ระบบ Git รู้จักผู้ใช้งานและสามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้ดำเนินการบันทึก (commit) การเปลี่ยนแปลงต่างๆ (คำสั่งเหล่านี้จะทำให้ระบบ Git สามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้ทำการเปลี่ยนแปลงในแต่ละ commit)

            การตั้งค่าชื่อผู้ใช้งาน:

                • ใช้คำสั่ง git config --global user.name "ชื่อของคุณ" เพื่อกำหนดชื่อผู้ใช้งาน

            การตั้งค่าอีเมลผู้ใช้งาน:

                • ใช้คำสั่ง git config --global user.email "อีเมลของคุณ" เพื่อกำหนดอีเมลผู้ใช้งาน 

        3. การเริ่มต้นใช้งาน Git ในโครงการใหม่  หลังจากตั้งค่าผู้ใช้งานเรียบร้อยแล้ว ผู้ใช้สามารถเริ่มต้นใช้งาน Git กับโครงการใหม่ได้:

            การสร้างโฟลเดอร์โครงการ:

      • ผู้ใช้ควรสร้างโฟลเดอร์ใหม่สำหรับเก็บไฟล์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับโครงการ โดยสามารถใช้โปรแกรมจัดการไฟล์หรือใช้คำสั่ง mkdir <ชื่อโฟลเดอร์> 

        ใน Terminal หรือ Command Line เพื่อสร้างโฟลเดอร์

            การสร้าง Git repository:

      • เปิด Terminal หรือ Command Line แล้วใช้คำสั่ง cd <ชื่อโฟลเดอร์> เพื่อเปลี่ยนไปยังโฟลเดอร์ที่สร้างขึ้น

      • ใช้คำสั่ง git init เพื่อเริ่มต้นสร้าง Git repository ในโฟลเดอร์นั้น ซึ่งจะทำให้ Git เริ่มติดตามการเปลี่ยนแปลงของไฟล์ในโฟลเดอร์นี้

        4. การเพิ่มไฟล์ลงใน Git  หลังจากสร้าง repository แล้ว Git จะยังไม่เริ่มติดตามไฟล์ใดๆ จนกว่าผู้ใช้จะบอกให้ Git ทราบ โดยการเพิ่มไฟล์ลงใน staging area ก่อน:

            การเพิ่มไฟล์เฉพาะเจาะจง:

                • ใช้คำสั่ง git add <ชื่อไฟล์> เพื่อบอกให้ Git เริ่มติดตามไฟล์เฉพาะที่ต้องการ

            การเพิ่มไฟล์ทั้งหมดในโฟลเดอร์ปัจจุบัน:

                • ใช้คำสั่ง git add . เพื่อเพิ่มไฟล์ทั้งหมดในโฟลเดอร์ปัจจุบันลงใน Git

        5. การบันทึกการเปลี่ยนแปลง (Commit) การ commit คือการบันทึกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในไฟล์ลงใน Git repository โดยที่ทุก commit จะมีข้อความบันทึกเพื่ออธิบายว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง:

            การบันทึกการเปลี่ยนแปลง:

                • ใช้คำสั่ง git commit -m "ข้อความบันทึก" เพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลงใน staging area ลงใน repository พร้อมข้อความที่อธิบายการเปลี่ยนแปลงนั้น

        6. การตรวจสอบสถานะของไฟล์ ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะของไฟล์ใน Git repository ได้ด้วยคำสั่ง git status ซึ่งจะแสดงข้อมูลว่าไฟล์ใดถูกแก้ไข แต่ยังไม่ได้ถูกเพิ่มหรือบันทึก:

            การตรวจสอบสถานะของไฟล์:

                • ใช้คำสั่ง git status เพื่อดูว่าไฟล์ใดที่ถูกแก้ไขแต่ยังไม่ได้ถูกเพิ่มลงใน staging area หรือไฟล์ใดที่อยู่ใน staging area แต่ยังไม่ได้ถูก commit

        7. การดูประวัติการเปลี่ยนแปลง ผู้ใช้สามารถดูประวัติการเปลี่ยนแปลงในโครงการได้ด้วยคำสั่ง git log ซึ่งจะแสดงรายการ commit ทั้งหมดที่เคยทำใน Git repository:

            การดูประวัติการเปลี่ยนแปลง:

                • ใช้คำสั่ง git log เพื่อดูประวัติของ commit ที่เคยทำ รวมถึงรายละเอียดของแต่ละ commit เช่น หมายเลข commit ผู้ที่ทำการ commit วันที่ และข้อความ

                   บันทึก

        8. การสร้างและจัดการ Branch Branch เป็นวิธีการที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแยกการทำงานออกจากโค้ดหลัก (main branch) เพื่อทำการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่หรือทำการทดลองการพัฒนาใหม่ๆ โดยไม่กระทบต่อโค้ดหลัก:

            การสร้าง Branch ใหม่:

                • ใช้คำสั่ง git branch <ชื่อ branch> เพื่อสร้าง branch ใหม่

            การสลับไปยัง Branch ใหม่:

                • ใช้คำสั่ง git checkout <ชื่อ branch> เพื่อเปลี่ยนไปยัง branch ใหม่ที่สร้างขึ้น

            การสร้างและสลับไปยัง Branch ใหม่ทันที:

                • ใช้คำสั่ง git checkout -b <ชื่อ branch> เพื่อสร้าง branch ใหม่และสลับไปยัง branch นั้นในขั้นตอนเดียว

        9. การรวม Branch (Merge) เมื่อทำงานใน branch หนึ่งเสร็จสิ้นและต้องการรวมการเปลี่ยนแปลงเข้ากับโค้ดหลัก ผู้ใช้สามารถทำการ merge branch นั้นกลับไปยัง branch หลักได้:

            การรวม Branch:

                • ใช้คำสั่ง git merge <ชื่อ branch> เพื่อรวมการเปลี่ยนแปลงจาก branch ที่ต้องการเข้ากับ branch ปัจจุบัน

            การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของโค้ด (Merge Conflicts):

                • ในกรณีที่เกิดความขัดแย้งระหว่าง branch ผู้ใช้ต้องเปิดไฟล์ที่มีปัญหาและแก้ไขความขัดแย้งด้วยตนเอง จากนั้นใช้คำสั่ง git add และ git commit เพื่อบันทึก

                   การแก้ไขและการรวม branch

        10. การเชื่อมต่อกับ Remote Repository หากผู้ใช้ต้องการเก็บโค้ดของตนบนเซิร์ฟเวอร์ออนไลน์หรือทำงานร่วมกับผู้อื่น ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อกับ remote repository บนแพลตฟอร์มเช่น GitHub, GitLab หรือ Bitbucket:

             การเพิ่ม Remote Repository:

                • ใช้คำสั่ง git remote add origin เพื่อเชื่อมต่อ Git repository บนเครื่องของผู้ใช้กับ remote repository บนเซิร์ฟเวอร์

             การส่งการเปลี่ยนแปลงไปยัง Remote Repository:

                • ใช้คำสั่ง git push -u origin <ชื่อ branch> เพื่อส่งการเปลี่ยนแปลงจาก branch ที่กำลังทำงานอยู่ไปยัง remote repository

        11. การดึงการเปลี่ยนแปลงจาก Remote Repository เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงใน remote repository ผู้ใช้สามารถดึงการเปลี่ยนแปลงนั้นมายัง local repository ของตนเพื่อให้โค้ดเป็นปัจจุบัน:

              การดึงการเปลี่ยนแปลง:

                • ใช้คำสั่ง git pull เพื่อดึงการเปลี่ยนแปลงจาก remote repository มายัง branch ปัจจุบันใน local repository ของผู้ใช้

 

คำสั่งพื้นฐานในการใช้งาน Git

git init: สร้าง Git repository ใหม่ในโฟลเดอร์ปัจจุบัน

git clone : คัดลอก Git repository จาก URL ที่ระบุ

git add <ชื่อไฟล์>: เพิ่มไฟล์ลงใน staging area

git commit -m "ข้อความบันทึก": บันทึกการเปลี่ยนแปลงที่ staging area ลงใน Git

git status: แสดงสถานะของไฟล์ใน repository

git log: แสดงประวัติการบันทึกการเปลี่ยนแปลง

git branch: แสดงรายการ Branch ทั้งหมดใน repository

git checkout <ชื่อ branch>: สลับไปยัง Branch ที่ระบุ

git merge <ชื่อ branch>: รวม Branch ที่ระบุเข้ากับ Branch ปัจจุบัน

git push: ส่งการเปลี่ยนแปลงไปยัง remote repository (เช่น GitHub)

git pull: ดึงการเปลี่ยนแปลงจาก remote repository มายัง local repository

 

Git เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญและทรงพลังในการจัดการโครงสร้างระบบ โดยเฉพาะในโครงสร้างระบบที่มีผู้พัฒนาหลายคน การเรียนรู้และฝึกฝนการใช้งาน Git จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาและจัดการโครงสร้างระบบได้เป็นอย่างมาก